วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ดาวในและนอกเรือนชาตา

ดาวพระเคราะห์เรือนนอก - เรือนใน

ดาวพระเคราะห์ต่างๆแต่ละ ดวงที่ปรากฎในดวงชะตานั้น จะแยกออกได้เป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือ "พระเคราะห์เรือนนอก" และ " พระเคราะห์เรือนใน"

1 พระเคราะห์เรือนนอก ได้แก่ ดาวเคราะห์ที่สถิตอยู่ในราศีต่างๆในดวงชะตา
2 พระเคราะห์เรือนใน ได้แก่ การเป็นดาวเจ้าเรือน

คุณและโทษของดาวพระเคราะห์

ความหมายของดาวพระเคราะห์ ด้านให้คุณ คือ ด้านดี ด้านให้โทษ คือ ด้านเสีย แต่ละด้านนั้นมีรายละเอียดเป็นหัวข้อสำคัญ ดังนี้

ดาวอาทิตย์ เด่น มีน้ำใสใจจริง มีความจริงจังและจริงใจ มุ่งมั่น มีใจเป็นนักกีฬา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รักความยุติธรรม หยิ่งทรนงในเกียรติยศและศักดิ์ศรี ถือตัว เจ้ายศเจ้าศักดิ์ ชอบปรุงแต่งภาพลักษณ์ของตนเองให้ดูดีอยู่เสมอ มีความสดชื่นเบิกบาน ทะเยอทะยานและมีความกระตือรือร้นอยู่เป็นนิจสิน
ดาวอาทิตย์ เสื่อม ไม่มีสปิริต ชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ ปล่อยตัวตามสบาย ไม่สนใจในเรื่องเกียรติยศและชื่อเสียง เอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่ ไม่สนใจในความรู้สึกของผู้อื่น รักง่ายหน่ายเร็ว ทำตัวเหมือนคนเบื่อโลก

ดาวจันทร์ เด่น มีธรรมชาติทางอารมณ์มั่นคงดี จิตใจและความรู้สึกเป็นปกติคงเส้นคงวา สุภาพอ่อนโยน มีความเห็นอกเห็นใจ เมตตากรุณา ชอบช่วยเหลือผู้อื่น รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ สัดส่วน เป็นที่ต้องตาต้องใจและดึงดูดใจคน
ดาวจันทร์ เสื่อม มีธรรมชาติทางอารมณ์ไม่ดี จิตใจและอารมณ์อ่อนไหวง่ายและแปรปรวนเร็ว ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวในกิจการของผู้อื่น ไม่ชอบเอาอกเอาใจใคร รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ สัดส่วน ไม่เป็นที่ดึงดูดใจคน คุณสมบัติของกุลสตรีบกพร่อง

ดาวอังคาร เด่น มีจิตใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยว มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ขยันขันแข็ง มีความกระตือรือร้น เอาการเอางาน เลือดลมดี ชอบการผจญภัย มีใจเป็นนักกีฬา
ดาวอังคาร เสื่อม มีจิตใจอ่อนแอและขี้ขลาด สุขภาพร่างกายไม่สมบูรณ์แข็งแรง การไหลเวียนของโลหิตบกพร่อง ใจร้อน มีแนวโน้มไปในทางกร้าวร้าว มุทะลุดุดัน หุนหันพลันแล่น ชอบหาเรื่องใส่ตัว

ดาวพุธ เด่น มีธรรมชาติทางความคิดดี เฉลียวฉลาด คล่องแคล่วว่องไว มีเชาว์ปัญญา ปฎิภาณไหวพริบดี ช่างพูดช่างคุย เป็นคนมีเหตุผล มีความคล่องตัวและเก่งหลายด้าน การศึกษาต้องดูที่ดาวพุธเป็นหลักด้วย
ดาวพุธ เสื่อม มีธรรมชาติทางความคิดไม่ดี ใช้ความเฉลียวฉลาดของตนเองไปในทางที่ไม่ถูกต้อง เจ้าเล่ห์ มารยาสาไถย พูดจาไม่เป็นเรื่องเป็นราว หาสาระประโยชน์ไม่ได้ ชอบตำหนิติเตียน สอดรู้สอดเห็น ชอบโวยวายจนติดเป็นนิสัย อารมณ์หงุดหงิดเป็นประจำ ประสาทอ่อน พิจารณาความคดโกงให้ดูดาวพุธเสื่อมเป็นหลัก

ดาวพฤหัส เด่น มีธรรมชาติเป็นคนรักสงบ มีเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ร่าเริงเบิกบานอยู่ในแนวทางที่ถูกที่ควร มีความเชื่อมั่นในตัวเอง รู้จักพัฒนาตัวเอง ซื่อสัตย์สุจริต รักความยุติธรรม ชีวิตมักประสบแต่ความโชคดี และความเจริญรุ่งเรือง
ดาวพฤหัส เสื่อม มักขาดความยั้งคิด ควบคุมตัวเองไม่ได้ ใช้จ่ายเงินสรุ่ยสุร่าย โลภมาก งมงายในสิ่งไร้สาระ มีสติปัญญาก็ไม่สามารถใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองได้

ดาวศุกร์ เด่น มี ธรรมชาติในการปรุงแต่ง ดัดแปลง มีหัวในทางศิลปะ สุภาพอ่อนโยน จงรักภักดี รักสันติ รู้จักกาละเทศะ รู้ผ่อนหนักผ่อนเบา มีเสน่ห์ดึงดูดใจผู้ใกล้ชิด เจ้าชู้ ลุ่มหลงในกิเลสตัณหาและโลกีย์วิสัย นิยมชมชอบในสิ่งสวยงาม รักธรรมชาติ
ดาวศุกร์ เสื่อม มีธรรมชาติเป็นคนเจ้าเล่ห์ ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง โลภโมโทสัน ชอบหลงระเริงในแสงสีศิวิไลย์ มีตัณหาราคะมาก ไม่ค่อยสงวนตัว ไม่รักเกียรติ

ดาวเสาร์ เด่น เป็น คนเอาการเอางาน หนักแน่น อดทน เก็บกด ไม่ชอบเข้าสังคม สมถะ เก็บอารมณ์ได้ดี ซ่อนความรู้สึกเก่ง อ่านไม่ออกว่าดีหรือร้าย สุขุมเยือกเย็น เป็นผู้ใหญ่ แต่ถ้าโกรธแล้วจะรุนแรง ห้ามไม่อยู่เลยทีเดียว มีความละเอียดถี่ถ้วน ระมัดระวัง รักสงบ
ดาวเสาร์ เสื่อม ธรรมชาติ ซึ่งเป็นคนเก็บกดอยู่แล้ว เมื่อมาอยู่ในตำแหน่งที่เสื่อม ทำให้เป็นคนคิดมาก มีวิตกกังวล ฟุ้งซ่าน เงียบขรึมจนน่ากลัว เฉื่อยชา เย็นชาไม่มีชีวิตชีวา เจ้าทุกข์ อมทุกข์ ลืมเหตุการณ์สะเทือนใจไม่ได้ ไม่ไว้วางใจผู้อื่น ตระหนี่ จู้จี้ ขี้บ่น ไม่ชอบเข้าสังคม

ดาวราหู เด่น มีธรรมชาติเป็นคนมีความสามารถรอบด้าน มีความสามารถเฉพาะทางหรือความสามารถพิเศษ เช่น ในด้านกีฬา การพนัน การแข่งขันชิงดีชิงเด่น มีจิตรานุภาพสูง เข้มแข็ง มีความฉลียวฉลาด สามารถชักจูงและโน้มน้าวให้ผู้อื่นเชื่อถือได้ มีความศรัทธาในตัวของตัวเอง มีประสบการณ์ในด้านอบายมุข แก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้เก่ง มีความคล่องตัวสูงในทุกสภาวะ
ดาวราหู เสื่อม มีธรรมชาติในทางลุ่มหลงมัวเมา มักตกอยู่ในโมหะจริต เช่น คิดอยากรวย อยากสวย อยากได้ อยากมีและและอยากเป็น ตลอดจนลุ่มหลงมัวเมาอยู่ใน รูปรส กลิ่น เสียง การสัมผัส มีความวู่วาม บุ่มบ่าม ขาดความยั้งคิด มีพรสวรรค์ในการฉ้อโกง เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เจ้าเล่ห์ ฉลาดแกมโกง กระล่อน ปลิ้นปล้อน ชอบหลบๆซ่อนๆ อำพรางตัวเอง ตั้งตนอยู่ในความประมาท

ดาวเกตุ เด่น มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองรักษา
ดาวเกตุ เสื่อม มีวิญญาณร้ายคอยรบกวนรังควาน

ดาวมฤตยู เด่น เป็นคนมีสติปัญญาเฉียบแหลม ค่อนไปทางสติเฟื่อง มีอำนาจลึกลับและอิทธิพล เอาชนะอุปสรรคได้อย่างประหลาด มีเสน่ห์ดึงดูด มีหัวคิดริเริ่ม หยั่งรู้และเข้าถึงในศาสตร์ลี้ลับ มีบุคลิกภาพที่เป็นพิเศษเฉพาะตัว มักเกี่ยวเนื่องกับวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นนักค้นคว้า เป็นนักประดิษฐ์กรรมที่ทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์
ดาวมฤตยู เสื่อม มักมีเหตุการณ์ไม่ดีที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น หรือมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่เป็นคุณ เกิดทุกข์ภัยอาเภท หลงใหลในสิ่งผิดๆ นอกลู่นอกทาง ดันทุรัง แหกคอก กระด้าง ดื้อรั้น ชอบผ่าฝืน เจ้าอารมณ์มาก โกรธง่าย อารมณ์ตึงเครียด เอาแต่ใจ และเนื่องจากที่มีนิสัยอารมณ์แบบนี้ จึงทำให้มีอันตรายถึงชีวิตได้ จึงต้องควบคุมจิตใจและอารมณ์ให้ดี

พระเคราะห์คู่

ดาวพระเคราะห์ต่างๆ เมื่อดวงหนึ่งไปสถิตร่วมกับดาวพระเคราะห์อีกดวงหนึ่ง จะก่อให้เกิดความหมายพิเศษขึ้นมา จากการสัมพันธ์ของดางวพระเคราะห์คู่นั้นๆ คือ

คู่มิตร เมื่อมีดาวอยู่ร่วมกันดังที่จะกล่าวข้างล่างนี้ เรียกว่า "ดาวคู่มิตร" คือ

๑ กับ ๕ (อาทิตย์กับพฤหัส) คู่มิตรปานกลาง
๒ กับ ๔ (จันทร์กับพุธ) คู่มิตรบริสุทธิ์
๓ กับ ๖ (อังคารกับศุกร์) คู่มิตรดีมิตรชั่ว
๗ กับ ๘ (เสาร์กับราหู) คู่มิตรชั่ว

ดาวพระเคราะห์ที่อยู่รวม กันโดยเป็น "คู่มิตร" กัน มีความหมายเป็นกลางๆว่า ความรัก ความเมตตา ความไว้วางใจ คนที่รักใคร่ใกล้ชิด ถ้าดาวคู่มิตรให้ผลทางด้านดี ก็ให้ความหมายถึง ผลดี ที่จะเกิดขึ้น เพราะคนรัก คนใกล้ชิด เพราะมิตร เพราะความไว้วางใจ หรือที่จะได้รับจากคนรัก คนใกล้ชิด หรือจากมิตรนั่นเอง

ถ้าดาวคู่มิตรให้ผลในด้านเสีย ก็ให้ความหมายถึง ผลเสีย ที่ จะเกิดขึ้นเพราะคนรัก คนที่ใกล้ชิด เพราะมิตร เพราะความไว้วางใจ หรือที่จะได้รับจากคนรัก คนใกล้ชิด หรือจากมิตรนั่นเองเป็นเหตุ เข้าทำนองที่ว่า "ไว้ใจทาง วางใจคน จะจนใจเอง"

คู่ธาตุ เมื่อมีดาวอยู่ร่วมกันดังที่จะกล่าวข้างล่างนี้ เรียกว่า "คู่ธาตุ" คือ

๑ กับ ๗ (อาทิตย์กับเสาร์)
๒ กับ ๕ (จันทร์กับพฤหัส)
๓ หับ ๘ (อังคารกับราหู)
๔ กับ ๖ (พุธกับศุกร์)

ดาวพระเคราะห์ที่อยู่ร่วมกันเป็น "คู่ธาตุ"กัน มีความหมายถึง ความเป็นปึกแผ่น ความมั่นคงถาวร ความสมบูรณ์พูนสุข ความยั่งยืนยาวนาน

ถ้าดาวคู่ธาตุให้ผลทางด้านดี ก็ให้ความหมายถึง ผลดี ที่ จะเกิดขึ้น หรือที่จะได้รับเป็นชิ้นเป็นอัน หรือได้รับอยู่อย่างยาวนาน อย่างมั่นคงถาวร หรือจะได้รับผลประโยชน์จากถาวรวัตถุที่มีอยู่

ถ้าดาวคู่ธาตุให้ผลในทางด้านเสีย ก็ให้ความหมายถึง ผลเสีย ที่จะเกิดขึ้น หรือที่จะได้รับนั้นมีส่วนกระทบกระเทือนถึงหลักฐาน ฐานะ ความมั่นคงถาวร หรือผลเสียนั้นจะต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่าจะหมดไป

คู่สมพล เมื่อมีดาวอยู่ร่วมกันดังที่จะกล่าวข้างล่างนี้ เรียกว่า "คู่สมพล" คือ

๑ กับ ๖ (อาทิตย์กับศุกร์)
๒ กับ ๘ (จันทร์กับราหู)
๓ กับ ๕ (อังคารกับพฤหัส)
๔ กับ ๗ (พุธกับเสาร์)

ดาวพระเคราะห์ที่อยู่ร่วมกันเป็น "คู่สมพล" มีความหมายเป็นกลางๆว่า อำนาจ อิทธิพล ความสามารถ ความรู้ ความชำนาญ ตำแหน่ง หน้าที่

ถ้าดาวคู่สมพลให้ผลในด้าน ดี ก็ให้ความหมายถึง ผลดี ที่จะเกิดขึ้น หรือที่จะสำเร็จ เพราะอำนาจของอิทธิพล เพราะความรู้ความสามารถ ความชำนาญ หรือเพราะตำแหน่งหน้าที่ หรือจากการใช้ความรุ้ความสามารถ

ถ้าดาวคู่สมพลให้ผลทาง ด้านเสีย ก็ให้หมายความถึง ผลเสีย ที่จะเกิดขึ้น จากการใช้อำนาจอิทธิพล หรือเพราะความประมาท หรือเพราะความเชื่อมั่นในตนเองมากเกินไป และรวมถึงความเสียหายแก่ตำแหน่งหน้าที่ หรืองานในความรับผิดชอบ

คู่ศัตรู เมื่อมีดาวอยู่ร่วมกันดังที่กล่าวข้างล่างนี้ เรียกว่า "คู่ศัตรู" คือ

1 กับ 3 (อาทิตย์กับอังคาร)
4 กับ 8 (พุธกับราหู)
6 กับ 7 (ศุกร์กับเสาร์)
2 กับ 5 (จันทร์กับพฤหัส)

ประเภทของดาวเคราะห์

ดาวพระเคราะห์ทั้ง 10 ดวง แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1 ดาวศุภเคราะห์ ได้แก่ 2 4 5 6 เป็นประเภทที่มีความอ่อนโยน นุ่มนวล เรียกว่า ประเภท "บุญฤทธิ์"
2 ดาวบาปเคราะห์ ได้แก่ 1 3 7 8 0 เป็นประเภทที่มีความกล้าแข็ง รุนแรง เรียกว่า ประเภท "อิทธิฤทธิ์"
(ดาวเกตุ จัดอยู่ในประเภทกลางๆ ถ้าได้เกณฑ์ดี จัดเป็นศุภเคราะห์ ถ้าได้เกณฑ์ร้าย จัดเป็นบาปเคราะห์
ถ้าสถิตในทุสถานภพ จัดเป็นดาวบาปเคราะห์ เมื่อออกโคจรไปตามวิถีจักร ย่อมนำพาความหมายของเรือนนั้นๆ ติดตัวไปด้วยเสมอ)

ดาวพระเคราะห์ที่เป็นศัตรูกัน แบ่งได้ดังนี้ คือ

1 ดาวพระเคราะห์คนละประเภทกัน ถือว่าเป็นศัตรูกัน
2 ดาวพระเคราะห์ที่เป็นประเภทบาปเคราะห์ด้วยกัน ถือว่าเป็นศัตรูกัน

ลักษณะการให้คุณและโทษของดาวศุภเคราะห์และบาปเคราะห์

ขึ้นอยู่กับโยคเกณฑ์ดีหรือร้าย และตำแหน่งราศีที่สถิต (ดีหรือเสื่อม) เป็นสำคัญ
ศุภเคราะห์
ระยะเชิงมุมที่ให้คุณ ได้แก่ มุม 0 ํ 30 ํ 60 ํ 120 ํ
ระยะเชิงมุมที่ให้โทษ ได้แก่ มุม 90 ํ 180 ํ และมุมทุสถานะภพ (ให้โทษแบบนุ่มนวลค่อยเป็นค่อยไป)
บาปเคราะห์
ระยะเชิงมุมที่ให้คุณ ได้แก่ มุม 30 ํ 60 ํ 120 ํ(ต้องผ่านการมีอุปสรรคก่อนเสมอ)
ระยะเชิงมุมที่ให้โทษ ได้แก่ มุม 0 ํ 90 ํ 180 ํ และมุมทุสถานะภพ

ดาวพระเคราะห์นอก เหนือจากการเป็น คู่มิตร คู่ธาตุ คู่สมพล ตามที่กล่าวมาแล้ว ยังมีดาวที่เป็นคู่กันอีกอย่างหนึ่ง เรียกว่า "คู่สัมพันธ์" โดยมีความหมายของแต่ละคู่ ดังนี้

ดาวคู่สัมพันธ์

๑ กับ ๒ (อาทิตย์กับจันทร์)

เรียกว่า "คู่ครัวเรือน คู่ผัวเมีย" ดาวคู่นี้มีอิทธิพลปานกลาง คือ เมื่อจะให้คุณ หรือ ให้โทษก็ไม่สู้ร้ายแรง หรือรุนแรงนัก มักเป็นเหตุเพียงเล็กๆน้อยๆในหมู่คณะ หรือครอบครัวเท่านั้น

๑ กับ ๓ (อาทิตย์กับอังคาร)

เรียกว่า "คู่ปะทะเฉพาะหน้า คู่ทะเยอทะยาน" โดยให้ผลดังนี้ คือ
ด้านดี หมายถึง ความกระตือรือร้น ทะเยอทะยานในความก้าวหน้า ความคล่องแคล่วว่องไว หรือได้รับชัยชนะในการต่อสู้แข่งขัน เอาจริงเอาจัง ฯ
ด้านเสีย หมายถึง การชอบใช้อำนาจ เจ้าอารมณ์ อารมณ์ร้อน อุบัติเหตุ การผ่าตัด บาดแผล ฯ

๑ กับ ๔ (อาทิตย์กับพุธ)

เรียกกันโดยศัพท์โหรว่า "คู่ปะทะเฉพาะหน้า คู่อุบัติเหตุ"
ด้านดี (มี โยคเกณฑ์ดีต่อลัคนา) หมายถึง มีความกระตือรือร้น มีทะเยอทะยานในความก้าวหน้า มีความคล่องแคล่วว่องไว ได้รับชัยชนะในการต่อสู้ ในการแข่งขัน
ด้านเสีย (มีโยคเกณฑ์ร้าย ต่อลัคนา) หมายถึง การชอบใช้อำนาจ ชอบใช้อิทธิพล เป็นคนเจ้าอารมณ์ อารมณ์ร้อน โมโหร้าย มักก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บเลือดตกยางออก หรือต้องผ่าตัด

๑ กับ ๖ (อาทิตย์กับศุกร์)

๑ กับ ๘ (อาทิตย์กับราหู)

๒ กับ ๓ (จันทร์กับอังคาร)

๒ กับ ๖ (จันทร์กับศุกร์)

เรียกกันโดยศัพท์โหราศาสตร์ว่า "คู่จันทร์อภิรมย์ ศุกร์เจ้าสำราญ ,คู่สำรวย สำราญ , คู่สะดวกสบาย" เนื่องจากดาวคู่นี้ เป็นดาวศุภเคราะห์ทั้งคู่ ความหมายของดาวแต่ละดวงดูแล้วมีความสวย ความงาม ความอ่อนหวานนิ่มนวลทั้วสิ้น ฉะนั้นเมื่อดาว 2 ดวงนี้สถิตอยู่ราศีเดียวกัน หรือดาวดวงใดดวงหนึ่งจร หรือสถิตอาศัยเรือนซึ่งกันและกัน จะมีความหมายดังนี้
ด้านดี (มี โยคเกณฑ์ดีต่อลัคนา) หมายถึง ความหวังอันก่อให้เกิดผลแห่งความสำเร็จ ความราบรื่น แจ่มใส ความอำนวยอวยชัยต่างๆ ความโอ่อ่าสง่างาม ความมีชีวิตชีวา ความสนุกสนานร่าเริงบันเทิงใจ ตลอดจนความปลอดโปร่งใจ
ด้านเสีย (มีโยคเกณฑ์ร้ายต่อลัคนา) หมายถึง การปล่อยปละละเลย ประมาทจนเสียเรื่อง ทั้งนี้ด้วยอิทธิพลของดาวศุภเคราะห์ ลักษณะการให้โทษจะเป็นแบบนุ่มนวลค่อยเป็นค่อยไป บางครั้งให้โทษแล้วเจ้าชะตาก็ไม่รู้ตัว เนื่องจากเกิดความเคยชิน ดาวคู่นี้ส่งผลให้เกิดความสุขสบายจนเคยตัว จนทำให้ดีแตก กล่าวคือ ความสะดวกสบาย ความโอ่อ่าหรูหรา กลับกลายเป็น ความฟุ่มเฟือย ความฟุ้งเฟ้อ ความหลงระเริง รักความสนุกสนาน ความบันเทิงเริงรมย์ จนกลายเป็นผลแห่งความเลินเล่อ ความประมาท สนุกจนลืมตัว ทำให้เกิดความทุกข์จากความสนุกนั้น โอกาสที่จะให้โทษ มักเกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว ไม่คาดคิดมาก่อน และเกิดขึ้นได้แบบง่ายๆ

๒ กับ ๗ (จันทร์กับเสาร์)

๒ กับ ๘ (จันทร์กับราหู)

๓ กับ ๔ (อังคารกับพุธ)

เรียกกันโดยศัพท์โหราศาสตร์ว่า " คู่คิดคู่กระทำ คู่ทฤษฎีคู่ปฏิบัติ คู่วิวาทะ"
ด้านดี (มีโยคเกณฑ์ดีต่อลัคนา) หมายถึง เป็นบุคคลมีความขยันขันแข็ง เป็นผู้คิดแล้วต้องทำ และถ้าได้ทำแล้วก็ทำจริง ไม่ใช่แต่จะพูดอย่างเดียว นอกจากนี้ยังมีวาทะศิลป์ สามารถพูดเรียกร้องความสนใจแก่มหาชนได้ (ดาว ๓ มีความหมายในเรื่องความขยันขันแข็ง ความอดทน การต่อสู้ ส่วนดาว ๔ มีความหมาย เป็นผู้มีปัญญาดี มีความคิดเป็นเลิศ ความคิดความอ่านดี จึงเรียกดาวพระเคราะห์คู่นี้ว่า "คู่คิดคู่กระทำ"
ด้านเสีย (โยคเกณฑ์ร้ายต่อลัคนา) หมายถึง เป็นผู้มีปากมาก ปากเสีย พูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระ หาข้อมูลที่เป็นความจริงไม่ได้ และมักจะเดือดร้อนเพราะปาก อาจถูกใส่ความใส่ร้ายป้ายสีอยู่บ่อยๆ หรือถูกฟ้องร้องกล่าวหา เป็นต้น ส่วนใหญ่ดาวคู่นี้ ถ้าว่ากันในด้านเสียแล้ว มักจะเป็นผู้มีปากเสียงกับผู้อื่นตลอดเวลา มีการทะเลาะวิวาทถึงขั้นลงไม้ลงลงมือเลยทีเดียว

๓ กับ ๗ (จันทร์กับเสาร์)

เรียกกันโดยศัพท์โหรว่า "คู่จองเวร คู่ทรหดอดทน คู่ทุกข์คู่ทรมาน"
ด้านดี (มีโยคเกณฑ์ดีต่อลัคนา) หมายถึง ส่งผลให้มีความมานะพยายามสูง อดทนต่อความยากลำบากในทุกเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าดีหรือร้าย สาหัสหนักหรือเบาก็ตาม มักจะต่อสู้ด้วยดี ไม่ย่อท้อต่อความทุกข์ยากลำบากแม้แต้น้อย
ด้านเสีย (โยคเกณฑ์ร้ายต่อลัคนา) หมายถึง การได้รับความทุกข์ทรมาน เมื่อมีเรื่องหรือปัญหาเกิดขึ้น มักจะยืดเยื้อยาวนานใช้เวลานานกว่าปกติธรรมดา มักจะมีการอาฆาตพยาบาทจองเวรเกิดขึ้น ซึ่งจะมีผลกับทั้ง 2ฝ่าย ทั้งตัวเจ้าชะตาเองและผู้ที่เกี่ยวข้อง
ดาวเคราะห์คู่นี้ เป็นดาวบาปเคราะห์ เป็นคู่แห่งอิทธิฤทธิ์ ฉะนั้นความร้ายแรงจึงมีผลรุนแรงมากแบบรวดเร็วฉับพลัน ตลอดจนหนักหนาสาหัสสากรรจ์ของปัญหาต่างๆที่มีมาสู่เจ้าชะตา

๓ กับ ๘ (จันทร์กับราหู)

๔ กับ ๕ (พุธกับพฤหัส)

เรียกกันในศัพท์โหรว่า "คู่นักปราชญ์ราชบัณฑิต คู่ความคิดคู่สติปัญญา" ในวิทยาการแขนงต่างๆ คู่มันสมอง ความสุขุม เพราะว่าดาวทั้ง 2 ดวงเป็นดาวศุภเคราะห์ มีผลในด้านคิดและสติปัญญา ความเฉลียวฉลาดทั้งปวง ตลอดทั้งเป็นคู่แห่งศีลธรรม คู่ธรรมะ ได้อีกด้วย
ด้านดี (มีโยคเกณฑ์ดีต่อลัคนา) หมายถึง เป็นคนมีเหตุผล มีระเบียบแบบแผนในการทำงาน และความเป็นอยู่ในครรลองชีวิตประจำวัน มีวิชาการดี ไม่เชื่อถือหรืองมงายอะไรง่ายๆ ในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ด้วยเหตุผลและสภาพความเป็นจริง อีกทั้งมีความยุติธรรมมากอีกด้วย ชอบศึกษาค้นคว้าหาเหตุผลที่มาของเรื่องราวต่างๆ
ด้านเสีย (มีโยคเกณฑ์ร้ายต่อลัคนา) หมายถึง เป็นคนงมงาย ขาดเหตุผล ไม่ทันต่อเหตุการณ์ความเป็นไปของโลกและสังคม มักมีปัญหาขัดแย้งกับผู้อื่นในด้านวิชาการอยู่เสมอ มักมีการโต้เถียง (เบากว่าคู่ดาว ๓ กับ ดาว ๔ ) ขัดแย้งกันในด้านระเบียบแบบแผนการปฏิบัติ แนวความคิด ความเชื่อ และนโยบาย พูดง่ายๆว่า มีทรรศนะคติไม่ตรงกัน เข้ากันไม่ได้

๔ กับ ๗ (พุธกับเสาร์)

๔ กับ ๘ (พุธกับราหู)

เรียกกันโดยศัพท์โหรว่า "คู่ชิงไหวชิงพริบ คู่เจ้าเล่ห์เพทุบาย"
ด้านดี (มี โยคเกณฑ์ดีต่อลัคนา) หมายถึง เป็นผู้มีปฏิภาณดี มีความคิดลึกซึ้ง แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเก่งและดีรวดเร็วทันใจ มีชั้นเชิงดี รู้เขารู้เรา ฉลาดในการเอาตัวรอด แม้ว่ามีการศึกษาไม่สูงหรือมีฐานะยากจนก็ตามดาวคู่นี้ส่งผลให้ฉลาดทันคน ดาวพุธ ๔ เป็นดาวระบบประสาท ความคิดความอ่าน ดาวปฏิภาณ ส่วนดาวราหู ๘ เป็นดาวเล่ห์เหลี่ยมฉลาดแกมโกง เมื่อรวมกันในราศีใดราศีหนึ่ง หรือดาวดวงหนึ่งดวงใดไปอาศัยซึ่งกันและกัน จะกลายเป็นดาวคู่ที่มีประสิทธิภาพเฉียบคมยิ่งในด้านความดีความเป็นมงคล
ด้านเสีย (มี โยคเกณฑ์ร้ายต่อลัคนา) หมายถึง ความกระล่อนหลอกลวง ความเจ้าเล่ห์ ปลิ้นปล้อน โกหกตอแหล งี่เง่า และมักจะถูกผู้อื่น เช่น เพื่อน ญาติ ผู้ใหญ่ และคนอื่นๆคอยหลอกลวงแหกตาต้มตุ๋นอยู่เป็นนิจ ผลเสียของดาวทั้ง 2 ดวงต่อเจ้าชะตา มักมีสาเหตุมาจากอุปนิสัยของปาก สันดานไม่ดีแห่งตนเอง (ในกรณีกุมลัคน์หรือเป็นเจ้าเรือนทุสถานะภพ ต้องดูด้วยว่า ดาวดวงไหนมีองศาประชิดกับลัคนามากกว่า พิจารณาในรูปแบบของศุภเคราะห์และบาปเคราะห์) มักแสดงออกในด้านชอบโกหกจนติดเป็นนิสัย มีสันดานชอบพูดหลอกลวงจนเคยปาก และในที่สุด ก็จะต้องถูกคนอื่นหลอกลวง ถูกใส่ร้ายนินทาอย่างหนีไม่พ้น เพราะนิสัยชอบตอแหลในสังคมของเจ้าชะตาเอง เป็นบุคคลที่สังคมรังเกียจ เพราะคนประเภทนี้มักจะขาดความจริงใจกับผู้อื่น

๕ กับ ๗ (พฤหัสกับเสาร์)

๕ กับ ๘ (พฤหัสกับราหู)

๖ กับ ๗ (ศุกร์กับเสาร์)

๖ กับ ๘ (ศุกร์กับราหู)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น