วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เทพอสูร(ดาว ๘ )

ดาว ๘ เทพอสูรผู้อหังการ์

********************

ในโหรฯนั้น ดาวคู่มิตรถึงกันย่อมมีพลังส่งผลในเรื่องของการให้คุณ และให้โทษไปพร้อมกัน โดยเฉพาะคู่มิตรที่เป็นบาปเคราะห์ อย่างราหู (๘) จรถึง เสาร์ (๗) หรือ อังคาร (๓) จรถึง ศุกร์ (๖) ซึ่งผมได้เน้นให้เห็นถึงสภาพของบาปเคราะห์ ไม่ว่าจะจรไปทับดาวใด เรือนใด หรือแม้แต่ ดาวศุภเคราะห์ จรมาต้องบาปเคราะห์ ก็ย่อมให้โทษเสมอ เหมือนคนชั่ว อยู่ที่ไหน อยู่กับใคร ก็ย่อมไม่ละสันดานชั่ว ย่อมเบียดเบียนคนที่อยู่รอบข้าง ไม่ว่าคนนั้น จะเป็นคนชั่ว หรือ คนดี ก็ตาม

จริงที่โหรโบราณท่านตั้งข้อสังเกตไว้ว่า หากดาวบาปเคราะห์ร้าย ไปอยู่ในภพทุสถานะ หรือ จรไปต้องบาปเคราะห์ด้วยกัน ก็จะทำการเบียนกันเอง ทำให้บาปเคราะห์นั้นเปลี่ยนจากร้าย กลายเป็นดี หรือ บรรเทาเบาบางความเลวร้ายลงไป แต่ก็นั่นแหละ กฎเกณฑ์ที่ให้ไว้ ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นกฎเกณฑ์ เปรียบเสมือนส้วมที่เหม็น เมื่อเอายาดับกลิ่นไปราด ก็ดับกลิ่นได้ หายเหม็น แต่มันก็เหม็นอยู่นั่นแหละ คือ เปลี่ยนจากเหม็นกลิ่นส้วม มาเหม็นน้ำยาดับกลิ่นแทน หรือ เปรียบเสมือนผ้าขาวที่เปื้อนสี แก้อย่างไร ก็ไม่หายเปื้อน วิธีแก้มีอย่างเดียว เอาไปย้อมสีที่เปื้อนนั้น ก็จะกลายเป็นผ้าผืนใหม่ที่สวย แต่สภาพของความเป็นสีขาว ย่อมเสียไป

กฎเกณฑ์ เสียพบเสียเป็นดี ถ้าเป็นดังเช่น ดาวเจ้าเรือนอริ ไปอยู่ในภพมรณะ หรือ อริ ไปอยู่วินาศนะ อย่างนี้ถือว่าดี หมายถึง ศัตรูคิดร้ายตายไปเอง หรือ วอดวายไปเอง แต่ในทางโหราศาสตร์นั้น ไม่มีอะไรจะได้เปรียบเสียเปรียบ เมื่อมีดี ก็ต้องมีเสียควบคู่กันไป (จะมาหักกลบลบล้างกันไม่ได้ ดังเช่นกรรมดี กรรมชั่ว ไม่อาจมาหักล้างกันได้ ต้องได้รับทั้งผลดี และ ผลชั่ว) กรณีที่ดาวศุภเคราะห์โคจรไปพบบาปเคราะห์ให้คุณแก่ดาวดวงนั้น ขณะเดียวกันตัวศุภเคราะห์เองที่โคจรไปพบนั้น กลับมัวหมองลง เปรียบได้กับ นิทานเรื่องชาวนากับงูเห่า หรือ คนดีทำคุณกับคนเลว คนเลวได้ผล แต่คนดีไม่ได้อะไรกลับมาเลย ดีไม่ดี โดนคนเลวทำร้ายเอาอีก ฉันใดก็ฉันนั้น

ในกรณีที่ดาวเจ้าเรือนอริ ไปอยู่ในภพวินาศนะ ทำให้ศัตรูวอดวายไปก็จริง แต่อย่าลืมว่า ภพวินาศนะนั้น เป็นภพที่มีความหมายถึง สิ่งเร้นลับ ปิดบัง ซ่อนเร้น ไม่จริงใจ บางทีศัตรูอาจจะทำทีดูเหมือนว่ายอมพ่ายแพ้ และอาจรอจังหวเพื่อจะแก้แค้นภายหลัง นอกจากนั้น ภพนี้ยังหมายถึง สิ่งอันปิดบังซ่อนเร้น หรือไม่เปิดเผยของเจ้าชะตา เช่น บ้านที่อยู่ห่างไกล, บ้านลับ ๆ หรือ บ้านหลังที่สอง, เมียน้อย หรือ เมียลับ ๆ, ทรัพย์สินที่ซ่อนเอาไว้ หรือ เก็บเอาไว้ในรูปของใบหุ้น ฯลฯ อาจจะถูกขโมย , หุ้นตก , เมียมีชู้ หรือคบหากับชายอื่นอีก ฯลฯ รวมความแล้ว ย่อมเกิดความเสียหายจนได้ ดังนั้น อย่าได้มองเพียงแต่เพียงแง่ใดแง่หนึ่งเพียงแง่เดียว

ผู้ที่ศึกษาโหราศาสตร์ควรจะต้องทำความเข้าใจว่า แม้เสาร์ (๗) จะเป็นคู่มิตรกับ ราหู (๘) แต่เมื่อพบกันแล้ว โทษย่อมเกิดกับเสาร์เสมอ เป็นของตายตัว เหมือนอังคาร (๓) คู่มิตรกับ ศุกร์ (๖) ถ้าศุกร์ เป็นดาวตนุลัคน์ ดาวอังคาร ดาวฆาต หรือ บาปเคราะห์ที่ส่งผลในด้านอุบัติเหตุ การเจ็บไข้กระทันหัน การมีเรื่องทะเลาะวิวาท ฯลฯ เมื่อโคจรมาทับศุกร์ (๖) เจ้าเรือนลัคน์ อย่างนี้ ทายไปได้เลยว่า จะเจ็บไข้ไม่สบาย หรือ ได้รับอุบัติเหตุ มีเรื่องทะเลาะวิวาท กฎเกณฑ์นี้เป็นของตายตัว ถือเป็นเคล็ดสำคัญ เป็นหลักเกณฑ์ปฐมที่จะต้องจดจำไว้ ไม่มีการยกเว้นว่า เป็นคู่มิตร หรือ คู่อะไร บาปเคราะห์จะต้องเป็นบาปเคราะห์ ย่อมให้โทษเสมอ

ดาวเสาร์ (๗) ที่มีกำลัง เช่น เป็นเกษตร หรือ มหาอุจ ถ้าเป็นดาวเจ้าเรือนภพอะไร ก็จะให้กำลังแก่ภพนั้น ๆ อย่างรุนแรง เช่น เป็นดาวเจ้าเรือนกัมมะ ก็ให้คุณแก่กัมมะอย่างแรงมาก อย่างนี้ท่านเรียกว่า “บาปเคราะห์ส่ง” แต่ทว่า ราหู (๘) เป็นเกษตร หรือ มหาอุจ กลับตรงกันข้าม เพราะสภาพราหู (๘) ดังที่กล่าวเอาไว้แล้วว่า “ราหูไม่ใช่ดาว” จึงพ้นขอบเขตของโลกธรรม คือ ไม่มีดี และชั่ว ระคนกัน มีแต่โทษอย่างเดียว ที่ดีนั้น ก็คงเป็นไปกับความชั่ว ซึ่งเมื่อชั่วหายไป ความดีก็เกิดขึ้น

เช่น ดาวเสาร์ (๗) นั้น เป็นดาวบาปเคราะห์ ย่อมมีธาตุสองอย่างรวมกัน คือ ดี และ ชั่ว แต่เปอร์เซ็นต์ของความร้ายมีมากกว่า จึงมีสภาพเป็นบาปเคราะห์ พอราหู (๘) โคจรมาทับ หรือ เสาร์ (๗) โคจรมาทับราหู (๘) ความร้ายอันเป็นโทษสมบัติของเสาร์ (๗) โดยตรง (เช่น ปัญหาอุปสรรค ความล้มเหลว ผิดหวัง ความทุกข์ เศร้าหมอง ฯลฯ) ก็จะถูกราหู (๘) ที่เป็นคราส บดบังโทษนั้นสิ้น ดังนี้ ความดีของเสาร์ (๗) ก็จะหลุดออกมา และก็รุนแรงเสียด้วย เพราะว่าเสาร์เป็นดาวพระเคราะห์ใหญ่ ย่อมมีฤทธิ์มากกว่าพระเคราะห์เล็ก เป็นของธรรมดา

ดังนั้น ราหู (๘) เมื่อสถิตอยู่ภพใด ย่อมเกิดโทษแก่ภพนั้น เป็นกฎตายตัว แม้ดาวบาปเคราะห์อื่น เช่น อังคาร (๓) เสาร์ (๗) เกตุ (๙) มฤตยู (๐) เนปจูน (น) และ พลูโต (พ) ก็เช่นกัน ไม่ว่าจะอยู่ภพใด ย่อมให้โทษแก่ภพนั้นเสมอ ไม่มีการยกเว้น แม้ว่าจะอยู่ในภพทุสถานะใด ๆ

ในการพิจารณาดวงชะตาบุคคล ราหู (๘) นั้น เมื่ออยู่ภพใดในพื้นดวง ก็เสมือนว่าเป็นตัวแทนของภพนั้นเช่นกัน ตามหลักวิชาโหราศาสตร์แผนใหม่ ระบบพลูหลวง หรือ เกษตรเรือนเดียวได้จัดให้ราหู (๘) และ เกตุ (๙) เป็นเกษตรในราศีเมถุน หากเจ้าชะตามีลัคนาอยู่ในราศีตุลย์ และมีราหู (๘) อยู่ในภพปัตนิที่ราศีเมษ เมื่อราหู (๘) จรมาทับลัคน์ หรือ ทับดาวศุกร์ (๖) เจ้าเรือนลัคน์ อย่างนี้ ทำนายได้เลยว่า ในช่วงที่ราหู (๘) ทับอยู่นั้น (ประมาณปีครึ่ง) จะเป็นช่วงจังหวะที่จะพบคู่ ส่วนจะดีหรือไม่ แท้หรือเปล่า ? อยู่กันยืนยาวแค่ไหน ? ต้องพิจารณาส่วนอื่น ๆ ประกอบ

ลักษณะของราหู (๘) เมื่อจะใช้ทำนายลักษณะรูปร่าง หน้าตา ของบุคคลนั้น มีอยู่หลายมิติ หรือ หลายแบบ เอาแน่นอนไม่ได้ บางคนก็ว่า ผิวคล้ำ มีลักษณะการกระทำที่แผลง ๆ บางตำราก็ว่า ร่างท้วม ผิวเนื้อดำ ดวงหน้ารูปไข่ หรือ กลม แต่จากการสังเกตเท่าที่เห็นมานั้น ยืนยันได้ว่า ลักษณะของราหูนั้น เป็นไปได้หลายลักษณะ ซึ่งต้องแล้วแต่ว่ามีดาวใดส่งอิทธิพลมาถึงด้วย เช่น บุคคลราหูกุมลัคน์ หรือ ลอยเหนือศีรษะขณะเกิด (อยู่ภพกัมมะ) นั้น มีทั้ง อ้วน ผอม แต่หน้ามน หน้าผากมน กว้าง คางหลุม ผิวมีทั้งขาว และ ดำ ดำแดงก็มี เอาแน่ไม่ได้

แต่ที่แน่อยู่อย่างหนึ่งก็คือ ถ้าราหู (๘) ไปอยู่ในเรือนปัตนิ หรือ กุมดาวปัตนิแล้ว คู่ครองมักจะเป็นคนต่างชาติ ต่างภาษา ต่างศาสนา ต่างฐานะความเป็นอยู่ ฯลฯ หรือ เป็นหม้าย ผ่านการมีเรือนมาแล้ว หากไม่ได้คู่ลักษณะที่ว่าไว้ โอกาสได้คู่ที่ไม่ดี กินเหล้า เมายา เสเพล ตามลักษณะนิสัยของราหู ที่เป็นตัวลุ่มหลงมัวเมา ย่อมมีมาก

เรามาดูตัวอย่างบุคคลที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของราหูกันบ้าง ว่า มีรูปร่างลักษณะนิสัยใจคออย่างไร จะยกตัวอย่างให้เห็นจริง พอสังเขป คือ

ดร. อุทิศ นาคสวัสดิ์ (เกิด ๒๙ มีนาคม ๒๔๖๖ เวลา ๒๓.๒๕ น.) ท่านผู้นี้ จัดว่า เป็นบุคคลที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของราหูเต็มที่ กล่าวคือ ราหู (๘) ลอยเหนือศีรษะขณะเกิด และ ราหู (๘) กับ เนปจูน (น) ศุกร์ (๖) ยังทำมุมตรีโกณถึงดาวอังคาร (๓) เจ้าเรือนลัคน์ จึงส่งอิทธิพลเต็มที่

ท่านมีความสามารถในการบรรยายดนตรีอย่างตลกคะนอง มีลูกเล่นมากมายแค่ไหน ใคร ๆ ย่อมรู้จักกันดี ลักษณะของท่านเป็นคนกว้าง และเปิดเผย และมีความสามารถสารพัด นี่คือ อิทธิพลส่วนดีของราหู

แต่ราหูก็ทำให้ท่านต้องจัดว่า เป็นคนแผลง ๆ เพราะว่า มีความสามารถแปลกกว่าคนอื่น กล่าวคือ ท่านเป็นนักวิชาการเกษตร เป็นนักบริหารงานชั้นเยี่ยม แต่ก็มีความสามารถเป็นอัจฉริยะทางดนตรี ทั้งยังเป็นนักพูดที่เป็นกันเองกับคนฟัง โดยถอดเอาบุคลิกของนักบริหารออกไปจนหมดสิ้น จนรู้สึกว่า ท่านเป็นเพื่อนกับผู้ฟังโดยตลอด เมื่อท่านอยู่บทบาทอะไร ท่านจะปล่อยให้อยู่ในบทบาทนั้นจนหมดตัวทีเดียว นี่คือ ส่วนดีของราหู ส่วนรูปร่าง หน้าตา ท่าทาง ลักษณะของท่านเป็นเช่นไร ถ้าใครไม่เคยเห็นท่านในจอทีวี โดยเฉพาะเด็กรุ่นหลัง ๆ ก็ให้นึกเอาลักษณะรูปร่างของราหูที่บอกไว้ในตำรา ท่านน่ะเข้าเป๊ะ ทุกประการ

ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช (เกิด ๒๐ เมษายน ๒๔๕๔ เวลา ๐๗.๒๐ น.) ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยผู้นี้ แม้จะมีดาวหลายดวงกุมลัคนา แต่ก็มีราหู (๘) กุมลัคนาอยู่ด้วย ราหูจึงมีส่วนปรุงแต่งให้ท่านมีความสามารถหลายทาง เป็นนักประพันธ์ นักการเมือง นักพูด นักแสดงภาพยนตร์ แสดงโขน ฯลฯ ลีลาในการเขียนหนังสือของท่านแปลก ไม่เหมือนใคร นี่ก็เพราะอิทธิพลของราหู

สมเด็จกรมพระยาภานุพันธ์วงศ์วรเดช (ประสูติ ๑๑ มกราคม ๒๔๐๓ เวลา ๐๗.๑๖ น.) สมเด็จผู้นี้ เป็นที่รู้จักกันดีว่า พระองค์เป็นผู้กล้า ไม่เกรงกลัวใคร และกล้าที่จะทำ โดยที่ไม่มีใครกล้าได้ ท่านทำอะไรบางอย่างจนคนบางคนอาจเห็นว่า ท่านทำอะไรแผลง ๆ แต่ท่านก็ได้รับการยกย่องจากประชาชนว่า เป็นหลักของแผ่นดิน ราหูกุมพระลัคนา ทำให้พระองค์ทรงมีพระบุคลิกลักษณะพิเศษ เป็นตัวของตัวเอง ไม่ซ้ำแบบใคร

ในที่นี้ พอจะเห็นได้ว่า ลักษณะของราหูกุมลัคน์นั้น ใจคอแกล้วกล้า ยึดมั่นในหลักการ และกล้าทำ ถ้าคิดว่าตนทำถูก ราหูนั้น มีลักษณะองอาจ เข้มแข็ง ดังเช่น ท่านจอมพล เจียง ไคเช็ค (เกิด ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๓๖ เวลา ๐๔.๐๐ น.) ลัคนากุมราหูอยู่ราศีเมษ, ท่านมุสโสลินี (เกิด ๒๙ กรกฎาคม ๒๔๖๖ เวลา ๑๔.๐๐ น.) ลัคนากุมราหูอยู่ราศีตุล

ราหู ทำให้กล้าที่จะแสดงหลักการอย่างเด็ดเดี่ยว ดังเช่น พ.อ.ประจวบ วัชรปาน (เกิด ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๓ เวลา ๐๙.๑๓ น.) ท่านเป็นนายแพทย์ และโหรผู้เชี่ยวชาญทางภารตะ ได้ให้ความรู้ทางโหร แก่นักพยากรณ์ทุกท่านตลอดมา ท่านกล้าที่จะแสดงหลักการอย่างไม่หวั่นไหวใด ๆ ทั้งสิ้น

อุษณา เพลิงธรรม (เกิด ๑๗ มิถุนายน ๒๔๖๓ เวลา ๑๖.๕๓ น.) นักประพันธ์เอกผู้นี้ ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความละเมียดละไม แบบโรแมนติก เขียนหนังสือได้ประณีต และฝัน ไม่ซ้ำแบบใคร สำนวนแปลกใหม่ เป็นที่เลื่องลือกันในสมัยก่อน

อิทธิพลของราหูที่กุมลัคนา ทำให้กล้าที่จะทำอะไรแปลกแหวกแนว โดยรักความจริง อารมณ์ร้อนรุนแรง แต่เมื่อผลิตผลงานประพันธ์แล้ว เยือกเย็นเสมือนสายน้ำ นี่เป็นอิทธิพลของราหู ทำให้เป็นอัจฉริยะ

โก้ บางกอก (เกิด ๑๔ พฤศจิกายน ๒๔๗๒ เวลา ๑๖.๒๐ น.) นักประพันธ์ท่านนี้ มีชื่อเสียงโด่งดัง และเชี่ยวชาญเขียนหัสนิยาย เป็นนายตำรวจมีชื่อเสียง ราหู (๘) ที่กุมลัคน์ ในราศีเมษ เรียกว่า ราหูบุญอสุราฤทธิ์ ซึ่งโหรโบราณยกย่องกันว่า เป็นราหูมีฤทธิ์ เช่นเดียวกับ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ราหูก็กุมลัคน์ในราศีนี้

ดาวพฤหัสบดี (๕) กับ ดาวจันทร์ (๒) ศุภเคราะห์ ขนาบหน้าหลังราหู (๘) อุ้มเอาไว้ น้อมนำให้ราหูเด่น ทำให้เจริญด้วยยศศักดิ์ และมีชื่อเสียง

เท่าที่ได้ยกตัวอย่างราหูกุมลัคนา ของบุคคลที่มีชื่อเสียง ล้วนเป็นอัจฉริยะ และสร้างสมคุณความดีไว้มากมาย จะเห็นได้ว่า การที่โบราณท่านว่า “ดูมัวเมาให้ดูราหู” และพรรณาราหูในแง่ร้ายมากกว่าดีนั้น ดูจะเป็นการเขียนเพียงแง่มุมเดียว ดังนั้น การพิจารณาดวงชะตานั้น จะพิจารณาเพียงดาวเดียวมากุมลัคน์ แล้วทำนายลักษณะนิสัย พฤติกรรม ความดี – เลว ออกมานั้น ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง

จริงอยู่ ราหู เป็นตัวมัวเมา แต่ถ้าได้รับกระแสที่ดีจากศุภเคราะห์ที่เด่น ๆ ก็จะกลับทำให้ บุคคลผู้นั้น ลุ่มหลงมัวเมาไปในทางที่ดีได้ เช่น มีดาวพฤหัสบดี (๕) เป็นเกษตร ทำมุมร่วมธาตุกับราหู หรือ เดินนำหน้าราหู อย่างนี้ จะส่งผลทำให้เจ้าชะตา ลุ่มหลงมัวเมาในทางศาสนา เคร่งศาสนา หรือ ชอบในทางแสวงหาความรู้ ทางด้านวิชาการต่าง ๆ และที่ ราหูกุมลัคน์ โบราณท่านว่า มีผิวดำนั้น ก็ไม่จริงเสมอไป ราหูกุมลัคน์ มีผิวขาว ก็มีให้เห็นมากมาย เช่น บุษยา รังสี นักร้องชื่อดัง วงสุนทราภรณ์ (เกิด ๑๓ สิงหาคม ๒๔๘๓ เวลา ๑๑.๔๕ น.) หรือ อาพันชนิตร สุวรรณศร (เกิด ๖ กันยายน ๒๔๗๙ เวลา ๑๖.๐๘ น.) ดาราทีวี นักพูด นักพากย์ ฯลฯ มีความสามารถหลายด้าน ฯลฯ เป็นต้น

2 ความคิดเห็น:

  1. บ้าไปนะครับ ถ้าพูดว่าราหูไม่มีดี ควรไปตามหาดวงครูมาดูมั่งนะครับ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณเจ้าของบล็อกค่ะ
    สำหรับคนอื่นที่เข้ามาอ่าน หากกฏเกณฑ์อะไรไม่เหมือนที่คุณเคยเรียนมา อย่าเพิ่งรีบด่วนตัดสินหรือด่าใครให้เป็นบาปเป็นกรรมแก่ตนเอง เข้าของบล็อกศึกษาสายภารตะ ย่อมมีบางอย่างแตกต่างจากโหราศาสตร์ไทย จงเปิดใจให้กว้าง อ่านแล้วทดลอง ก่อนจะปากดี

    ตอบลบ